ทำความเข้าใจเรื่อง Crypto เราต้องทำความเข้าใจมุมมองทางเศรษฐศาสตร์และการเงินของโลกด้วย ทำไมผมถึงคิดว่า Libra ไม่โอเค ซึ่งผมพูดประเด็นนี้ตั้งแต่ก่อนสมาชิกถอนตัวจาก Libra Association ในขณะที่ Crypto Evangelist หลาย ๆ คน เชียร์ Libra สุดลิ่มทิ่มประตู
ประเด็นที่ผมเห็นต่าง จากหลาย ๆ คน นอกจากเรื่องการต่อต้านจากภาครัฐ ก็เป็นเรื่องของนิยามของคำว่า Stablecoin นี่ล่ะ
- Stablecoin คือการที่ Libra บอกว่ามีสินทรัพย์แบคอัพสกุลเงิน Libra ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินต่าง ๆ อย่างดอลล่าร์ ยูโร เยน ฯลฯ และอาจรวมไปถึงพวกพันธบัตรรัฐบาล
- สินทรัพย์พวกนี้เราเรียกกันว่า Collateralized Asset เป็นตัวรับประกันมูลค่าของเหรียญ Libra เราสามารถเรียก Libra ว่าเป็น Money Representative คือเป็นตัวแทนของสินทรัพย์ที่แบคอัพ Libra
- แต่เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าเราฟังแค่นี้แล้วบอกว่า Libra ควรจะ “เสถียร” อันนี้ผมคิดว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะเราต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่า ทาง Libra Association นั้นทำอะไรกับ Collateralized Asset เหล่านั้น..!! ผมคิดว่าประเด็นนี้ไม่ค่อยมีใครพูดกันจริงจัง ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
- ถ้าสมมติ Libra Association เก็บ Collateralized Asset เหล่านั้นเอาไว้ในตู้เซฟเฉย ๆ อันนี้ เราสามารถเรียก Libra เป็น Money Representative ได้เต็มปากเต็มคำครับ เพราะมันเป็นตัวแทนของเงินที่ไม่ได้ขยับ นอนนิ่ง ๆ อยู่ในตู้เซฟ ดังนั้นตัว Libra เอง จึงเป็นร่างโคลนของเงินเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
- แต่เดี๋ยวก่อน ถ้า Libra Association ไม่ได้เก็บพวก Collateralized Asset เหล่านั้นไว้เฉย ๆ ล่ะ บางคนบอกว่า จะเก็บไว้เฉย ๆ ทำไม มีเงินสดมหาศาลอยู่กับตัว ทำไมไม่เอาไปฝากธนาคาร ทำไมไม่เอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเท่าที่ผมทราบ มีความเป็นไปได้สูงว่า สินทรัพย์ที่อยู่ในมือของ Libra Association นั้นน่าจะถูกนำไปสร้างผลตอบแทนแบบความเสี่ยงต่ำ เช่นการซื้อพันธบัตร
- ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบข้อ 5 นั่นหมายถึงว่า Libra ไม่ใช่ Money Representative แล้วนะครับ เพราะว่าตัว Money เอง ก็ไหลไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เหมือนกัน มันไม่ได้นอนเฉย ๆ อยู่ในตู้เซฟตามทฤษฏี
- ลองคิดง่าย ๆ สมมติดอลล่าร์ในตะกร้าเงินของ Libra $100 ล้านเหรียญ ถูกนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นั่นหมายถึง Libra Association ปล่อยเงินสดในส่วน Collateralized Asset ให้รัฐบาลสหรัฐ “กู้”
- ในขณะเดียวกัน เหรียญ Libra ที่ออกมาเป็นจำนวนเทียบเท่าเงิน $100 ล้านดอลล่าร์ (สมมติง่าย ๆ ว่าเป็น 500 ล้าน Libra ละกันนะครับ) ก็ไปอยู่ในมือนาย A และนาย A ก็เอาเงินตรงนี้ไปปล่อย “กู้” ให้กับนาย B
- คุณจะเริ่มเห็นนะครับว่า “เงินจริง ๆ” ที่เป็นเงิน $100 ล้านนั้น ถูกนำไปปล่อยกู้สองรอบ รอบแรกคือส่วน Collateralized Asset นั้นถูกนำไปปล่อยกู้ให้รัฐบาลในรูปแบบการซื้อพันธบัตร และส่วนเงิน Libra ก็ถูกนาย A นำไปปล่อยกู้ให้นาย B
- ในกรณีแบบนี้ Libra ไม่ใช่ Money Representative นะครับ เพราะตัว Money จริงๆ ($100 ล้าน) มันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่ มันไม่ได้นอนอยู่ในตู้เซฟเฉย ๆ เราสามารถเรียกปัญหานี้ได้ว่าการ “Double Spending” รูปแบบนึง ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จริง ๆ เราไม่สามารถจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า Libra นั้นเป็นตัวแทนเงิน หรือ Money Representative อย่างที่เข้าใจกัน
- มองอีกแง่หนึ่งการที่เงินก้อนเดียวไหลไปทำงานสองแหล่ง (เอาดอลล่าร์ไปซื้อพันธบัตร กับเอา Libra ไปปล่อยกู้ให้นาย B) หรืออีกตัวอย่างคือถ้า Libra Association เอาเงินไปซื้อพันธบัตร รัฐบาลได้เงินมาเอาไปซื้อเรือดำน้ำ ส่วนคนที่ถือ Libra ก็เอา Libra ไปซื้อลูกชิ้นปิ้ง นั่นคือเงินก้อนเดียวถูกนำไปซื้อทั้งเรือดำน้ำและลูกชิ้นปิ้งได้ ในแง่ demand supply คือ Libra เป็นการเพิ่ม Supply 2 เท่าให้กับสกุลเงินใด ๆ ที่อยู่ในตะกร้าเงินของ Libra นั้น
- ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นตามทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ ค่าเงินของสกุลในตะกร้าของ Libra นั้นจะต้องเฟ้อ 1 เท่าตัว (เพราะเงิน 1 ก้อนถูกนำไป Double Spending 2 รอบ) ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ความวุ่นวายจะเกิดแน่ๆ ครับ เพราะ Libra จะเท่ากับ Private QE เหมือนการเพิ่มปริมาณเงินขึ้นมาในระบบเปล่า ๆ
- คิดในแง่ผู้กู้อย่างรัฐบาลนะครับ คือ ออกพันธบัตรมา จู่ ๆ ก็มี Libra Association มาซื้อพันธบัตรรัฐไป พอรัฐได้เงิน สมมติรัฐเอาเงินไปอัดฉีดเศรษฐกิจ แบบชิม ช็อป ใช้ของเมืองไทย นั่นคือ เงินก้อนนั้นไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที ในขณะเดียวกัน Libra ก็ไหลอยู่ในระบบเศรษฐกิจ เช่นกัน นั่นคือเงินก้อนเดียวกันถูก double ซึ่งตามหลัก มูลค่าของมันก็ควรจะลดลงเท่ากับจำนวนที่มันเบิ้ลขึ้นมาน่ะแหละครับ
- นั่นแปลว่า ยิ่งมี Libra ในระบบเศรษฐกิจมากเท่าไหร่ ตามทฤษฏีแล้ว ตะกร้าเงินที่เป็น Collateralized Asset ก็จะด้อยค่าลงมากเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันเลย
- เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะกับ Libra นะครับ แต่ทุก ๆ Stablecoin ที่ไม่ได้เอา Collateralized Asset ไปขังไว้ให้นอนเล่นในตู้เซฟเฉย ๆ แต่กลับเอาไปลงทุนอะไรก็ตาม พวกนี้ถือว่าเข้าข่ายการทำ Private QE ทั้งนั้น เพียงแต่ปริมาณ Stablecoin ในโลกมันยังไม่ได้เยอะมากจนทำให้เงินมันเฟ้อรุนแรง
- แต่ถ้า Libra เกิดจริง ปริมาณ Libra น่าจะเทียบไม่ได้เลยกับปริมาณ Stablecoin อื่นๆ ที่มีในระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งมันจะ Impact กับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจโลกแน่ ๆ ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปอย่างผมยังมองเห็นปัญหานี้ เป็นไปไม่ได้ที่รัฐ หรือธนาคารกลางจะมองไม่เห็น นั่นจึงน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่รัฐเบรค Libra อย่างสุดแรง
- ทุกวันนี้รัฐบาลทั่วโลกกำลังต่อสู้กับปัญหาภาระหนี้สินภาครัฐ และธนาคารกลางกำลังต่อสู้กับความเชื่อมั่นของประชาชนอยู่อย่างหนักหน่วงและรุนแรงครับ การเดินเกมส์ใด ๆ ที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของสกุลเงินของรัฐบาลนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลและธนาคารกลาง ยอมรับไม่ได้แน่นอน นี่เป็นเหตุผลที่ผมยืนยันตั้งแต่แรก ๆ ที่คนฮือฮาเรื่อง Libra ว่า ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดได้โดยง่ายครับ
ประเด็นทั้งหมดที่ผมอยากพูด ก็คงจบแค่นี้ครับ ผมไม่ได้เพิ่งมาพูดเรื่องนี้ เพราะ Libra โดนเทหรอกนะครับ ผมเคยคุยประเด็นนี้ตอนขึ้น Panel ของ Thai Fintech เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาละ ตอนนี้มีข่าว Libra เลยถือโอกาสได้เขียนประเด็นนี้ซะที
PS. คนเทรด Crypto อย่าลืมนะครับ ตลาดคริปโตที่ฟื้นรอบนี้ ส่วนนึงมาจากกระแส Libra ช่วยหนุน ถ้าสมมติ Libra ร่วงจริง ๆ ระวังพอร์ต Crypto ของตัวเองกันด้วยครับ