Posted : 14 Aug 2020

Divergence / Convergence เป็นนิยามชนิดนึงที่ใช้เพื่อประเมินความสัมพันธ์ของทิศทางของแนวโน้มราคา และ อินดิเคเตอร์ ซึ่งในโลกของการลงทุนทางเทคนิค Convergence หมายถึงไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ Divergence หมายถึงไปคนละทางกัน โดยการวิเคราะห์ทางเทคนิคนี้มีประโยชน์คือ ใช้เพื่อหาจุดกลับตัวของราคาซึ่งจะ ทำให้ “ซื้อขายได้ต้นทุนถูก” และ เกาะเทรนตั้งแต่ต้นทาง ถ้าถูกทางก็จะได้กำไรคำใหญ่

Convergence คือการที่ราคาของสินทรัพย์  อินดิเคเตอร์ หรือ Index เคลื่อนที่เป็นทิศทางเดียวกันกับสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ราคาของ SET Index กับ SET 50 Index  ส่วน Divergence คือการที่ราคาสินทรัพย์ อินดิเคเตอร์ หรือ Index เคลื่อนที่ตรงกันข้ามกัน Divergence จะเตือนเรื่องแนวโน้มเดิมของราคาสินทรัพย์ที่เป็นอยู่นั้นอ่อนกำลังลง และอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนทิศทางในระยะเวลาอันไกล้

อะไรมาก่อน..หลัง ?

นักลงทุนสายเทคนิคจะเน้นความสำคัญของ Divergence มากกว่า Convergence เนื่องจาก Convergence สามารถพบเจอได้ในตลาดสภาวะปรกติ แต่ Divergence นั้น จะเป็นการตีความถึงเทรน ของราคาสินทรัพย์กำลังอ่อนกำลังหรือไม่คงที่ จึงเหมาะสำหรับการเป็นจุดเข้าไปเก็งกำไรนั่นเอง

รูปหุ้น GULF OBV Bearish Divergence Class C

Divergence สามารถพบได้ในหลาย ๆ อินดิเคเตอร์ แต่ที่พบบ่อยจะเป็นอินดิเคเตอร์จำพวก Oscillator ซึ่งเป็น Indicator จำพวกโมเมนตัมที่ค่ามักผันผวนรุนแรงโดยค่าจะขึ้นหรือลงบนระดับค่า สูงสุดและต่ำสุด เช่น ระดับ 70 และ 30 Indicator จำพวกนี้คือ Relative Straight Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD), On-Balance-Volume (OBV), Rate-Of-Change (ROC), Stochastic Oscillator, Commodity Channel Index (CCI) ฯลฯ

รูปหุ้น  CK MACD with Bullish  Divergence Class A

สแกนเพื่อดูลักษณะของ Bullish Divergence Class A ได้ที่นี่เลยสแกนเพื่อดูลักษณะของ Bullish Divergence Class A ได้ที่นี่เลย

 

Divergence มีกี่แบบ กี่ประเภทกัน ?

การเกิด Divergence สามารถแบ่งออกเป็นสองหมวดคือ Bullish Divergence และ Bearish Divergence โดยแบ่งตามพฤติกรรมการเกิดออกเป็นสี่รูปแบบคือ Class A Class B Class C และ แบบ Hidden

ชนิดของ Divergence ประเภทต่าง ๆ

การกลับตัวของราคา ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตามความแรงของระดับขั้น ส่วนมาก Class A  จะเป็นสัญญานกลับตัวที่ดีที่สุด Class B จะเป็นการกลับตัวเบาลงมาจาก Class A ส่วน Class C เป็นสัญญาณของราคาหุ้นที่จะเกิดการเคลื่อนไหวแบบ Sideways และส่วนสุดท้ายคือ Hidden Divergence จะเป็นการพิจารณาได้ว่าราคาหุ้นที่อยู่ในกรอบนั้น อาจจะเหวี่ยงตัวแรงขึ้น จนออกนอกกรอบ และเกิดเทรนที่ชัดเจนได้อีก

เกิด Divergence แล้วทำยังไง ซื้อเลยได้ไหม ?

อย่างไรก็ตาม การเกิด Divergence ในหุ้นสามารถตีความได้ว่าแนวโน้มเดิมกะลังจะหมดแรงไปต่อ ในทางกลับกัน “เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไร” จะเกิดขึ้นจริง จะรู้ต่อเมื่อมันได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือการเฝ้าระวัง และ “ไม่ควรซื้อโดยทันที” เนื่องจาก Divergence ในแต่ละสินทรัพย์มีความยาวนานแตกต่างกัน จึงต้องใช้การคอนเฟิมจากสัญญานทางเทคนิครูปแบบอื่น เช่น แนวรับแนวต้าน Price Pattern หรือ Volume ประกอบ

รูป RSI Divergence Type A

 

สแกนเพื่อดูลักษณะของ RSI Divergence Type A  ได้ที่นี่เลยสแกนเพื่อดูลักษณะของ RSI Divergence Type A  ได้ที่นี่เลย

 

จะเห็นได้ชัดเจนว่า Bearish Divergence ในรูปแบบ Type A มีความน่าจะเป็นสูงที่สุด แต่หุ้นก็สามารถทำ New High เกิด False Signal เมื่อเป็นแนวโน้มขาขึ้นได้ และราคาขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ยาวนาน ดังนั้นจึงไม่ควรลงมือซื้อขายโดยทันที ทั้งนี้การใช้ Divergence  ควรมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และควรพิจารณาถึงการวางเงินที่เหมาะสม และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อผิดทางด้วย

AVA Advisor

Author AVA Advisor

More posts by AVA Advisor